Wednesday, July 08, 2009

บันทึกเที่ยวจีนของผู้เขียน


จากการเดินทางไปร่วมเสนอบทความใน The 7th International Conference on New Directions in the Humanities ที่ปักกิ่ง หรือเป่ยจิง เมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับการไปเที่ยวด้วย ผู้เขียนมีประสบการณ์ที่อยากถ่ายทอดในที่นี้เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจไปเที่ยวเมืองจีนด้วยงบประหยัด และเพื่อบอกเล่าความคิดที่เกิดจากการเดินทาง

เนื่องจากผู้เขียนต้องการใช้เงินให้ประหยัดมากที่สุด และอยากเที่ยวให้มากที่สุด เพราะอุตส่าห์ไปแล้วทั้งที และไม่รู้ว่าจะหาเงินไปได้ง่ายหรือเปล่าในอนาคต โดยครั้งนี้แม่และน้องให้ยืมเงิน ผู้เขียนจึงเสาะหาตั๋วเครื่องบินไปปักกิ่งก่อนวันเดินทางประมาณสามเดือน แต่เมื่อลองเช็กข้อมูลทางเน็ตและสอบถามเอเจนซีทั้งหลายแล้ว ก็พบแต่ค่าตั๋วแพงมากสำหรับตนเอง (คือใช้เดินทางไปจีนได้อีกประมาณสามรอบ เมื่อเทียบกับค่าตั๋วที่ใช้เดินทางครั้งนี้) และในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อตั๋วสายการบินราคาประหยัดมากในช่วงโปรโมชั่น กทม. - กว่างโจว หลังจากนั้นค่อยหาทางไปปักกิ่งอีกทีโดยนั่งรถไฟความเร็วสูง ชั้นประหยัดอีกเช่นกัน โดยใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งวัน ตามข้อมูลที่ดูในเว็บไซต์

การเดินทางนี้จึงน่าตื่นเต้นมากสำหรับผู้เขียน เพราะรู้ภาษาจีนแค่ไม่กี่คำ โดยยืมคู่มือคำศัพท์จีนสำหรับนักเดินทางจากห้องสมุดคณะฯ ติดไปด้วย ซึ่งก็ไม่มีเวลาอ่านมากนัก และยังไม่รู้ว่าจะซื้อตั๋วรถไฟที่กว่างโจวเพื่อไปปักกิ่งได้ในวันรุ่งขึ้นหลังจากไปถึงกว่างโจวแล้วหรือไม่ การจองตั๋วรถไฟจากเมืองไทยผ่านบริษัทท่องเที่ยวก็เสียค่าบริการที่ยังไม่รู้อัตราแน่นอน และจองที่นั่งชั้นประหยัดไม่ได้ แผนที่เมืองกว่างโจวสำหรับนักท่องเที่ยวก็ไม่มีเวลาหาในตอนนั้น แต่ยังพออุ่นใจได้บ้างว่าช่วงปลายเดือนพฤษภาที่เดินทางไปถึง เป็นช่วงหลังวันหยุดยาวของจีนที่มีการเดินทางในประเทศคับคั่งไปแล้ว และเนื่องจากตั๋วเครื่องบินที่ซื้อแบบไปกลับไว้ ก็กำหนดให้เดินทางก่อนล่วงหน้าเป็นเวลาหลายวัน ในวันที่เป็นของราคาประหยัด ดังนั้นจึงมีช่วงเวลาให้รอตั๋วรถไฟในกว่างโจวได้ประมาณสี่ห้าวัน และนึกในทางที่สนุกไว้ว่าจะได้มีเวลาเที่ยวกว่างโจวไปพลางๆ และนึกถึงเงินที่จะมีไว้เป็นค่ากิน ค่าที่พัก ค่าโดยสารในปักกิ่งเอาไว้ ก็รู้สึกสบายใจได้โดยอัตโนมัติ

เที่ยวบินราคาประหยัดไปถึงกว่างโจวประมาณห้าทุ่ม และพบการตรวจวัดอุณหภูมิเข้มแบบรายคนบนเครื่องอีกประมาณยี่สิบนาที เที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินรองสุดท้าย และอาคารผู้โดยสารขาเข้าจะปิดตอนตีสอง ผู้คนจึงโหรงเหรง โดยผู้เขียนไม่รู้ว่าอาคารผู้โดยสารขาออกที่คึกคักและคงจะเปิดตลอดเวลาตั้งอยู่อีกฟากหนึ่ง และที่สนามบินไม่มีแผนที่เมืองเป็นภาษาอังกฤษสำหรับนักท่องเที่ยว โชคดีที่มีคนพูดภาษาอังกฤษ และได้ข้อมูลว่ามีรถบัสสาย 1 วิ่งจากสนามบินไปยังสถานีรถไฟของเมืองกว่างโจว ซึ่งมีสองสถานีซึ่งเป็นชุมทางใหญ่ คือสถานีกว่างโจว และสถานีกว่างโจวตะวันออก ทั้งสองสถานีมีขบวนรถไปปักกิ่ง และรถสาย 1 วิ่งไปสุดสายที่สถานีกว่างโจว ค่าโดยสาร 16 หยวน ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง โชคดีที่พนักงานเก็บค่าโดยสารพูดภาษาอังกฤษ

ไปถึงบริเวณสถานีรถไฟกว่างโจวราวตีสองกว่า โชคดีที่มี เคเอฟซี 24 ชั่วโมง เปิดเพลงจีนป๊อปเพราะดังลั่นร้าน และมีกลุ่มเด็กมัธยมที่ยังไม่กลับบ้านนอน บางคนก็นอนหลับคาโต๊ะขนาดกว้างที่นั่งรวมกันได้หลายคน พนักงานร้านใจดี ให้นั่งได้เป็นชั่วโมงโดยผู้เขียนไม่สั่งอาหาร เพราะเพิ่งกินมาจากแม็คโดนัลด์ในอาคารสนามบินขาเข้า ซึ่งปิดตอนตีสอง ราวตีห้าครึ่งห้องขายตั๋วรถไฟก็เปิดขาย อาคารขายตั๋วตั้งแยกจากทางเข้าสถานีอยู่ไม่ไกลจากเคเอฟซี คนมีตั๋วเท่านั้นที่เข้าสถานีได้ ทางเข้าเปิดระยะไว้แบบเดินเรียงหนึ่ง โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ขายตั๋วพูดอังกฤษ และให้ความช่วยเหลืออย่างดี ในขณะที่มีผู้โดยสารเดินทางกันนับร้อยตั้งแต่เช้าตรู่ ตีห้ากว่าหน้าสถานีก็เหมือนลานจัดคอนเสิร์ต คนมากมายที่มานอนรอตอนกลางคืนใต้ชายคาอาคารทยอยตื่น ตอนกลางคืนรถกอล์ฟของตำรวจแล่นเลียบดูบริเวณด้านหน้าสถานีที่คนนอนตลอดเวลา นับว่าปลอดภัย

โชคดีที่ได้ตั๋วที่ต้องการในวันนั้นเลยเป็นรถขบวนบ่าย ของขบวนเช้าเหลือแต่ชั้นราคาแพงของตู้นอน ค่ารถไฟชั้นประหยัดราคา 253 หยวน ของตู้นอนชั้นถูกสุดจะแพงกว่านี้อีกเกือบหนึ่งเท่า ตั๋วรถไฟซื้อได้เฉพาะการเดินทางเที่ยวเดียว และเมื่อไปถึงปักกิ่งผู้เขียนก็ซื้อตั๋วขากลับกว่างโจวไว้เลย ซึ่งเป็นการซื้อล่วงหน้าสิบวัน ตั๋วราคาเท่ากันกับขาไป สถานีรถไฟซึ่งเป็นชุมทางใหญ่ที่ปักกิ่งก็มีสองสถานี สถานีที่เดินทางไปถึงคือสถานีปักกิ่งตะวันตก ส่วนอีกสถานีหนึ่งคือสถานีปักกิ่ง อยู่ห่างกันประมาณหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองสถานีมีขบวนรถไปกว่างโจวเช่นกัน รถออกจากสถานีตรงเวลาและถึงช้ากว่ากำหนดประมาณไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ควรเผื่อเวลาเดินแบบสบายไปขึ้นรถที่ชานชาลาสักครึ่งชั่วโมง เพราะจากห้องพักรอในสถานีไปถึงชานชาลาค่อนข้างไกล และขบวนรถยาวมากหลายโบกี้

หากเดินทางด้วยวิธีตระเวนบกเช่นนี้ก็ไม่ควรมีสัมภาระเยอะ ผู้เขียนเตรียมเสื้อผ้าบางๆ ไปไม่มาก กางเกงมีสองตัวรวมที่นุ่งไปด้วย จึงไม่มีสัมภาระหนัก และพับอัดใส่ถุงผ้าขนาดปกติแล้วหิ้วไปได้ ที่หนักคือชี้ทต่างๆ ที่จำเป็นต้องขนใส่เป้ไปประมาณค่อนรีม เพราะหาข้อมูลไว้เป็นก้อนๆ และอ่านไม่ทัน คืนก่อนเดินทางยังต้องหัวฟูทำจ๊อบให้เสร็จ พอไปถึงแล้วค่อยเตรียมเนื้อหาการนำเสนอในที่ประชุม โน้ตบุ๊คไม่เอาไป เพราะที่บ้านมีเครื่องเดียว และเป็นของน้อง น้องต้องใช้ ซึ่งนับว่าคิดถูกตามความคิดแรกที่ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ขนไปด้วย ในกรณีของผู้เขียนไม่ต้องมีโน้ตบุ๊คก็เสนอได้ และไม่ต้องพะวงหอบหิ้วไปเที่ยวด้วยทุกที่

ที่สถานีปักกิ่งตะวันตกไม่มีแผนที่เมืองปักกิ่งสำหรับนักท่องเที่ยว ต้องไปซื้อที่สถานีปักกิ่ง ซึ่งเป็นสถานีศูนย์กลาง (คาดว่าหากบินมาลงที่สนามบินปักกิ่งคงไม่พบปัญหานี้) แผนที่ราคา 8 หยวน จากสถานีปักกิ่งตะวันตกนั่งรถเมล์ไปได้หลายสาย สายที่นั่งไปคือ 52 บนรถเมล์มีผังแสดงจุดจอดรถตามย่านต่างๆ เป็นภาษาจีนกับอังกฤษ ในกรณีที่ต้องจ่ายค่าโดยสารตามระยะทาง และต้องบอกคนเก็บเงิน หากพูดจีนไม่ได้ ก็ชี้จุดที่จะลง แต่ว่าผังนี้ก็มักบอกแต่ชื่อย่านที่เป็นชื่อเฉพาะ การใช้ผังนี้จะช่วยได้ดีก็ต่อเมื่อหาแผนที่นักท่องเที่ยวได้แล้ว

ค่ารถเมล์ในปักกิ่งหากเป็นอัตราเดียวตลอดสาย ราคา 1 หยวน หากคิดตามระยะก็ไม่น่าจะเกิน 3 หยวน ค่ารถเมล์ที่จ่ายแพงสุดคือ 2 หยวน รถบางคันที่คิดค่าโดยสารอัตราเดียวให้ผู้โดยสารหย่อนเงินลงกล่องแล้วฉีกตั๋วเอาเอง ผู้เขียนไม่นั่งแท็กซี่ เพราะแพงกว่าอย่างแน่นอน และพูดจีนไม่รู้เรื่อง การไม่นั่งแท็กซี่ช่วยประหยัดเงินได้มาก และระบบรถเมล์ของปักกิ่งดีกว่าของ กทม. มาก รถมาเป็นระยะ ไม่ต้องคอยนานมาก เพราะระบบการจราจรดี ถ้ามีแผนที่ติดตัวแล้วผู้เขียนเห็นว่าโอกาสหลงมีน้อย เพียงขอให้รู้ว่าต้องขึ้นสายอะไร โดยถามผู้คนด้วยแผนที่ เมื่อขึ้นรถแล้ว หากพูดกับคนเก็บเงินไม่รู้เรื่อง ก็ชี้แผนที่ให้เขาดูว่าจะลงที่ไหน เขาจะคิดเงินให้ ตอนคิดเงินถ้าไม่รู้เรื่องอีกก็ขอดูหน้าตั๋วซึ่งจะเขียนบอกราคา แล้วจ่ายเงินให้ถูก คนเก็บเงินใจดีหลายคนช่วยบอกผู้เขียนเมื่อถึงป้ายที่ต้องการลง นอกจากรถเมล์ รถใต้ดินที่ปักกิ่งก็มีระบบที่ดีมาก รถสายต่างๆ เชื่อมถึงกันได้ ราคาโดยสารอัตราเดียว คือ 2 หยวน นั่งไปได้ทุกสถานี เมื่อดูแผนที่ก็จะรู้ว่าควรขึ้น-ลงรถใต้ดินที่สถานีใด และจะเป็นส่วนที่ช่วยทำให้ประหยัดค่ารถได้มากขึ้น หากต้องการนั่งแท็กซี่จากบริเวณสถานีรถใต้ดิน แต่ผู้เขียนไม่เรียกแท็กซี่เลยตลอดการเดินทาง

การไปเที่ยวชมกำแพงเมืองจีนอย่างประหยัดในบริเวณไม่ไกลจากปักกิ่ง คือกำแพงเมืองบริเวณ Badaling ทำได้โดยนั่งรถใต้ดินไปลงสถานีที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟปักกิ่งเหนือ ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากในแผนที่ จากสถานีรถไฟปักกิ่งเหนือ ขึ้นรถไฟความเร็วสูงที่มีสภาพดีมาก สภาพในขบวนดูคล้ายรถไฟแอร์พอร์ทลิงค์ของไทยที่เห็นในทีวีซึ่งกำลังจะให้บริการ ค่าโดยสารไปสถานี Badaling เที่ยวละ 14 หยวน ซึ่งซื้อแบบไป-กลับได้ ขบวนรถวิ่งเป็นระยะทุกประมาณสองชั่วโมง นับแต่เจ็ดโมงเช้าไล่ไปจนถึงบ่ายสาม และขบวนรถกลับก็วิ่งเป็นระยะทุกประมาณสองชั่วโมงเช่นกัน สับหว่างกับขบวนขาไป รถขากลับขบวนสุดท้ายมีถึงช่วงหัวค่ำ ระยะเวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงสิบนาที กำแพงเมืองอยู่ห่างจากสถานี Badaling ประมาณ 800 เมตร เดินไปได้หากไม่ขี้เกียจเดิน ซึ่งส่วนใหญ่สถานที่ท่องเที่ยวในปักกิ่งก็ต้องเดินเป็นทางไกลอยู่แล้ว บนกำแพงเมืองไม่ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นไปกิน ดังนั้นการเตรียมบะหมี่แบบถ้วยที่เป็นอาหารสามัญของชาวจีนขึ้นไปกินบนกำแพงเมืองจึงได้บรรยากาศมาก โดยขอน้ำร้อนได้จากร้านค้าหรือศูนย์นักท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในบริเวณก่อนถึงทางขึ้นกำแพงเมือง การกินบะหมี่ถ้วยชนิดต่างๆ คือสิ่งที่ผู้เขียนทำแทบทุกวัน และรู้สึกว่าร่างกายได้รับผงชูรสเป็นปริมาณมาก จนต้องเพลาๆ ลงในวันท้ายๆ

สำหรับข้อมูลการไปเที่ยวกำแพงเมืองที่ Badaling อย่างประหยัดนี้ ผู้เขียนได้จากกลุ่มอาสาสมัครในตัวเมืองที่คอยให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเป็นภาษาอังกฤษ การเผยแพร่ข้อมูลนี้ต่อทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ตนเองได้ขอบคุณเขาทางหนึ่ง คนที่ให้ข้อมูลผู้เขียนให้ความช่วยเหลืออย่างดีมาก คนส่วนใหญ่ที่นั่นที่พูดคุยกับผู้เขียนโดยเข้าใจว่าผู้เขียนเป็นคนจีนผิวคล้ำ มีหลายคนที่ผู้เขียนแสดงให้เขารู้ว่าผู้เขียนพูดจีนไม่ได้ แต่ท่าทางพวกเขาเข้าใจว่าผู้เขียนพูดไม่ได้แต่ฟังพอเข้าใจ การมีบรรพบุรุษโคตรแม่เป็นจีน ทำให้ผู้เขียนรู้สึกในทางหนึ่งว่าตนเองได้ไปเยือนถิ่นฐานของญาติ และโชคดีที่ได้รับความช่วยเหลืออย่างลุล่วงตลอดการเดินทาง

ผู้เขียนพยายามจัดเส้นทางการเที่ยวให้ผ่านโรงแรมที่จัดการประชุมทุกวัน เพื่อกินอาหารแบบบุฟเฟต์มื้อกลางวันที่มีเมนูอาหารจีนเป็นหลัก ค่าลงทะเบียนร่วมการประชุมรวมค่าอาหารเที่ยงแล้ว จึงไม่ควรสละโอกาสการกินอาหารจีนในโรงแรมราคาแพง สิ่งที่ควรชิมและมีให้ชิมคือเป็ดปักกิ่ง เมนูอาหารจีนที่เลี้ยงในแต่ละวันมีบางอย่างที่ซ้ำและหลายอย่างที่ไม่ซ้ำ โรงแรมนี้ตั้งอยู่ในเส้นทางระหว่างสวนสัตว์ปักกิ่ง ที่พักของฝูงแพนด้า และพระราชวังฤดูร้อน โดยมีรถเมล์วิ่งผ่านเป็นจุดสุดสายทั้งสองสถานที่

โฮสเทลที่ผู้เขียนเลือกไปพัก มีห้องนอนรวมซึ่งมีเตียงและที่นอนสภาพดีมาก พร้อมแอร์ ค่าที่พักนี้ราคาประหยัดมาก โดยคิดเวลาเช็คอินตอนเที่ยงคืน หากอยู่เกินเที่ยงคืนจะคิดเป็นอีกหนึ่งวัน เงื่อนไขนี้คือสิ่งที่ผู้เขียนไม่ทันสังเกตในตอนเข้าพัก แต่ทำเลห้องพักราคาแบบนี้ของโฮสเทลนี้ต้องทนเสียงหนวกหูของรถรายามหัวค่ำและกลางวัน ซึ่งไม่เป็นปัญหาเพราะออกตระเวนเป็นหลัก โฮสเทลนี้มีบริเวณภายในคล้ายโรงเตี๊ยมในหนังจีนโบราณ โดยมีลานใหญ่และลานเล็กตรงกลางอาคารสองส่วน ห้องอาบน้ำรวมที่ใช้มีน้ำอุ่นให้อาบตลอดเวลา พร้อมทั้งกระติกน้ำร้อนสำหรับลวกบะหมี่ที่ตั้งไว้บริการตลอดเวลาด้วย รวมทั้งเครื่องซักผ้า เสื้อผ้าหลักของผู้เขียนมีแต่แบบเนื้อบาง จึงซักเองได้ไม่ยาก ผึ่งไว้ไม่นานก็แห้ง และเวียนมาใส่ได้อีกรอบ

มีค่ำคืนที่แร่ดอยู่ทั้งคืน จึงทำให้เห็นปักกิ่งในยามเช้าที่สงบและกว้างใหญ่ มีลมหนาวเย็นที่ทำให้ริมฝีปากแตกเป็นแผลเลือดไหลออกมาเหมือนเลือดกำเดา จนต้องหาลิปมันมาชโลมปาก การแวะกินอาหารเช้าที่ร้านยองเฮคิงคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้มีความสุข ร้านนี้เป็นฟูดเชนแบบฟาสท์ฟู้ดอย่างเคเอฟซี, แม็คโดนัลด์ แต่มีสาขาอยู่ในบริเวณต่างๆ น้อยกว่ามาก และมีสาขาหนึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟปักกิ่งตะวันตก ที่นี่ขายอาหารตำรับจีนอย่างปาท่องโก๋หนึ่งฟุตที่มีขายตามรถเข็นในตรอกข้างถนน แต่ร้านนี้จะขายแบบหั่นสองขาครึ่งท่อน พร้อมน้ำเต้าหู้แบบร้อนหรือเย็นตามแต่จะเลือก นอกจากนั้นก็มีเมนูก๋วยเตี๋ยว, ข้าวปั้นไส้ปาท่องโก๋ฉีกกับหัวไชโป๊วและสิ่งที่คิดว่าเป็นหมูหยอง, โจ๊ก ซึ่งแบบที่ผู้เขียนได้กินคือแบบโรยไก่ฉีกกับไข่เยี่ยวม้า และเมนูที่ผู้เขียนกินได้ทุกวันหากเข้าร้านนี้ ก็คือเกี๊ยวน้ำในถ้วยทรงเตี้ยปากกว้าง มีผักสีเขียวที่ดูเหมือนตะไคร่น้ำจากสายยาง ลอยปนอยู่ในน้ำซุปที่โรยไข่เจียวซอยเป็นแผ่นบาง กับกุ้งแห้งจีนซึ่งเป็นสีขาว และหอมเจียว ซึ่งกินโดยไม่ต้องใส่เครื่องปรุงอีก นอกจากโรยพริกไท และกินกับปาท่องโก๋หกนิ้ว

ตามความรู้สึกของผู้เขียน สิ่งที่ทำให้ กทม. เป็นนรกก็คือการจราจรที่ก่อควันพิษและการแช่อืดคาท้องถนน คนบนถนนสูดควันพิษไว้ทุกวัน คนนั่งรถเมล์ร้อนก็สูดหนักกว่าคนอยู่ในรถแอร์ เมื่อไปเห็นที่ปักกิ่งแล้วก็ตระหนักว่าระบบรางคือสิ่งที่น่าจะช่วย กทม.ได้ดีที่สุด ซึ่งก็ขอให้สร้างกันให้เสร็จไวๆ เปลี่ยน กทม. เป็นถนนรางให้หมดน่าจะยิ่งดี หรือมีรถใต้ดินกระจายไปให้ทั่ว การใช้เวลาบนท้องถนนกับรถติดแบบบ้าบอแบบนี้คือหายนะที่บั่นทอนหลายสิ่ง ถ้าคิดแค่ว่าให้พากันดิ้นรนหารถมาขับจนล้นถนน หาซื้อน้ำมันมาเผา เพื่อจะได้ติดคาถนนอย่างสบายในแอร์ ฟังวิทยุดูทีวีดูซีดีฆ่าเวลา อย่าไปคิดอะไรมาก ก็ยิ่งหายนะหนัก ปักกิ่งรถเยอะ แต่เท่าที่นั่งอยู่แทบทุกวันที่ไปอยู่นั้นก็ไม่ติดเป็นบ้าบอแบบที่เจอในหลายย่านใน กทม. ซึ่งหากเป็นอย่างนี้หนักขึ้นต่อไป คุณภาพชีวิตของคนที่อยู่ใน กทม. ก็เห็นจะไม่มีทางพัฒนาได้ ต่อให้มีสิ่งก่อสร้างทันสมัย หรือใช้เทคโนโลยีเลิศล้ำเพียงใด ระบบขนส่งมวลชนคือสิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนาอย่างไม่เหยาะแหยะ

และสิ่งที่ทำให้ทุกที่เป็นนรก รวมถึงเมืองจีน ก็คือควันบุหรี่ ที่นั่นสูบกันทุกแห่งทุกที่ เว้นในสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่ง บนรถไฟนั้นห้ามสูบและไม่ควรสูบก็ยังสูบกันเป็นสิ่งปกติ ยังดีที่เจ้าหน้าที่รับฟังคำบ่นของผู้เขียน เนื่องจากปอดทนไม่ไหว ถ้าเป็นรถไฟชั้นสามแบบเมืองไทยที่ไม่ติดแอร์ไปเลยยังดีเสียกว่า เจ้าหน้าที่ตักเตือนคนสูบ แต่ยังไงเขาก็สูบกันอยู่ดี ในอาคารปิดและติดแอร์อย่างในที่โถงพักรอในสถานีที่กว่างโจว ก็เรียกได้ว่ารมควันกันแทบทุกจุด สิ่งที่ผู้เขียนต้องต่อสู้อย่างหนักตลอดการเดินทางไม่ใช่ความเหน็ดเหนื่อยจากระยะการเดินทาง หรือการเดินเป็นกิโลทุกวัน (เพื่อชมเมือง หรือชมสถานที่ท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่แล้วยังไงก็ต้องเดินชมกันไกลเป็นกิโล) แต่เป็นควันบุหรี่ ซึ่งมองในมุมหนึ่งก็เห็นใจคนสูบอยู่บ้าง เพราะบุหรี่เป็นสิ่งที่ซื้อสูบได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย ถ้าจะไม่ให้โวยก็คงต้องคิดเสียว่าเป็นเวรเป็นกรรมอย่างหนึ่งของคนที่ไม่สูบและต้องร่วมอยู่ด้วยในที่สาธารณะอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่สมควรหรือที่คนไม่สูบบุหรี่ต้องยอมรับสภาพแบบนั้น ในเมื่อที่สาธารณะมันคือที่สาธารณะ ซึ่งอันนี้ก็รวมถึงเหล้าที่คนซื้อกินได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย ยังไงก็ตาม ผู้เขียนมองว่าคนที่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะและคนที่ดื่มเหล้าเกินขีดการควบคุมประสาทแล้วขับรถคือคนใจอำมหิตประเภทหนึ่ง เพราะพวกเขาไม่เคารพการมีชีวิตของคนอื่นในสังคม

สำหรับการขากถุยในจีนก็มีกันอยู่ทั่วไป แต่ผู้เขียนพอทนได้ เพราะส่วนใหญ่ที่เจอเป็นการขากแบบระวังไม่ให้กระเด็นไปโดนคนอื่น และมีแต่คนสูงอายุที่นิยมขาก โดยตั้งข้อสังเกตตามความรู้สึกว่าการขากเสมหะของคนจีนในบางบริบทไม่ใช่แค่การขากของเสียเพื่อถ่มออกมาให้พ้นคอ แต่รู้สึกว่าในขณะเดียวกันมันเป็นการแสดงอำนาจอย่างหนึ่ง และการขากแบบไม่ถุย ก็รู้สึกว่าต่างจากการขากแล้วถุย แต่ทั้งนี้ผู้เขียนก็เลี่ยงไม่มองสิ่งที่ถุยออกมา

สำหรับการเสนอบทความ ผู้เขียนตระหนักว่าตนเองต้องหาประสบการณ์เกี่ยวกับการพูดภาษาอังกฤษอีกมาก วิธีนำเสนอของผู้เขียนคือพูดตามความเข้าใจ โดยใช้คำศัพท์พื้นๆ เข้าใจได้ง่ายที่สุดเพื่อสื่อสารแบบไม่ให้ติดขัดมาก และควักส่วนที่เป็นเนื้อหาสำคัญซึ่งเขียนเตรียมไว้แล้วราวสิบบรรทัดออกมาอ่านให้ผู้ฟังฟังเป็นส่วนสรุป เพื่อลดความผิดพลาดในการสื่อสาร ซึ่งในการนำเสนอประมาณสิบกว่านาทีก็ถือว่าเป็นเวลาไม่นาน โดยผู้เขียนสวมเครื่องแต่งกายที่สวมในการแสดงเดี่ยวซึ่งเสนอไปแล้ว โดยหวังให้สิ่งนี้เป็นส่วนช่วยอย่างหนึ่งในการนำเสนอแทนการใช้โน้ตบุ้ค ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่แต่งได้ง่ายมาก และสร้างความสนใจให้ผู้ฟังได้ดี เรียกว่าเป็นจุดขายอย่างหนึ่ง ผู้มาฟังในวันนั้นมีประมาณสิบคน ในห้องประชุมขนาดย่อมที่มีบรรยากาศดี โดยมีอาจารย์ชาวไทยสองท่านคือ อาจารย์ ดร. ธีรพงษ์ บัวหล้า และอาจารย์กุลภัค คงสุวรรณกุล (ขออภัยหากเขียนชื่อไทยผิด) ที่ต่างเดินทางไปเสนอบทความในงานนี้ให้เกียรติมาร่วมฟังด้วย ผู้เขียนขอขอบคุณทั้งสองท่านอีกครั้งในที่นี้

การเดินทางครั้งนี้ ผู้เขียนคิดว่าเป็นโอกาสดีอีกโอกาสหนึ่งในชีวิตตัวเอง โดยการใช้เงินอย่างคุ้มค่ามากและเห็นหลายสิ่งที่เคยเห็นในหนัง ในทีวี และภาพถ่าย และทำให้ผู้เขียนนึกถึงดินแดนในโลกอีกหลายแห่งที่ควรหาโอกาสไปสัมผัสด้วยการวางแผนการเดินทางให้ประหยัดแบบนี้ ซึ่งทำให้การเดินทางเป็นไปได้มากขึ้น และมีความหมายยิ่งขึ้นสำหรับตัวเอง โดยต้องสร้างสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อการเดินทน ในประเทศจีนก็มีอีกหลายส่วนที่ควรไป แม้แต่ที่ปักกิ่งก็น่าหาโอกาสไปอีก ของฝากที่ผู้เขียนนำมาฝากแม่คือเงินส่วนหนึ่งที่เหลือจากการเดินทาง (เพื่อการขอยืมอีกต่อไปอีกสำหรับหลายเรื่อง) และยังมีส่วนที่ขอเก็บไว้ใช้ก่อนได้อีกตอนช่วงเดือนแรกที่เปิดเทอม ทั้งนี้ แม่และน้องที่ต่างยังทำงานกันอยู่คงไม่ยอมให้ผู้เขียนยืมเงินไปใช้แบบเกินตัวในขณะที่ผู้เขียนมีแต่จ๊อบกระจุ๊กกระจิ๊ก และยังไม่มีอาชีพที่ให้รายได้ประจำ หากผู้เขียนไม่ทำสิ่งที่แสดงการรับผิดชอบต่อการดำรงชีวิตตัวเองไว้บ้างเลย ซึ่งสิ่งดังกล่าวนั้นผู้เขียนทำไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มชีวิตการทำงาน นั่นคือผู้เขียนมีทรัพย์สินบางอย่างซึ่งมีค่าเป็นตัวเงินไม่มากนักในตอนนี้ที่จะมอบเป็นมรดกได้ ซึ่งผู้เขียนตั้งใจยกให้น้อง (แกอ่านแล้วก็รับรู้ความคิดอย่างเป็นทางการของชั้นไว้นะ) แม้ผู้เขียนใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีอาชีพประจำได้ในตอนนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้เขียนแบมือขอเงินแม่ใช้อย่างสบาย แม่กับน้องให้ความช่วยเหลือผู้เขียนมากในการเดินทางครั้งนี้ ทั้งที่โดยปกติแล้วเรามักจะไม่ค่อยยุ่งเรื่องของกันและกันนัก เพราะน้องมักไม่ชอบให้ผู้เขียนให้คำชี้แนะที่ทำให้เขารำคาญและลำบากใจ และผู้เขียนรู้ดีว่าน้องสร้างโอกาสในการดำรงชีวิตของตัวเองได้ในขณะนี้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งทรัพย์สินใดของผู้เขียน สิ่งที่ผู้เขียนได้รับพร้อมโอกาสดีที่เป็นไปเพื่อการเรียน และเพื่อการเที่ยวเป็นสำคัญในครั้งนี้ คือการแสดงความรักจากแม่และน้องที่ต่างมีเรื่องรำคาญกันและกันเป็นปกติวิสัย การเดินทางเช่นนี้ทำให้ความเยาว์ยิ่งเพิ่มขึ้น และยิ่งปล่อยวางกับการสะสมทรัพย์นอกกาย และมีความกระหายการเดินทางครั้งต่อๆ ไป และคนที่ทำให้ผู้เขียนตระหนักถึงความรักเนื่องจากการหายไปนานหลายวันเกินปกติก็คือหมาหน้าปากซอยเข้าบ้านที่เคยพูดถึงไว้ เมื่อกลับมาพบกันเขารีบวิ่งมาหาและเหยียดตัวขึ้นยืนสองขาทันทีที่เห็นผู้เขียน และโถมเข้ามาหาจนผู้เขียนต้องรีบจับสองขาหน้าไว้เพื่อให้เขายืน และเขาคือคนที่ทำให้ผู้เขียนอดทนกับการจราจรใน กทม. ได้มากขึ้น

0 Comments:

Post a Comment

<< Home