Wednesday, July 02, 2008

ขอขอบคุณและร่วมให้กำลังใจกลุ่มผู้คัดค้านการขึ้นราคาค่ารถโดยสารประจำทาง

ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นผู้โดยสารรถประจำทางเป็นส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน ขอขอบคุณและร่วมมอบกำลังใจแด่กลุ่มผู้คัดค้านการขึ้นราคาค่ารถโดยสารประจำทาง ซึ่งดำเนินการตามหลักเกณฑ์และนำเสนอข้อมูลอันเป็นประโยชน์แก่เหล่าผู้โดยสาร จนส่งผลต่อการระงับการขึ้นราคาค่ารถเมล์ หลังจากมีการปรับขึ้นราคาครั้งล่าสุดในช่วงสั้นเมื่อเดือนที่ผ่านมา

จากประสบการณ์การโดยสารรถเมล์ ผู้เขียนเห็นว่าผู้โดยสารจำนวนมากประสบความเดือดร้อนหลายทาง การขึ้นราคาค่าโดยสารที่ปรับไปตามยุคและสภาพเศรษฐกิจ คือสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้และจำต้องยอมรับอยู่แล้ว และจากข้อมูลที่กลุ่มผู้คัดค้านฯ นำเสนอผ่านสื่อ ทำให้เชื่อว่าผู้รับภาระในท้ายที่สุดอย่างไม่สมควรก็คือบรรดาผู้โดยสาร สิ่งที่น่าเห็นใจอย่างยิ่งสำหรับผู้โดยสารผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจแย่ คือจำนวนรถเมล์ร้อนที่วิ่งน้อยลงในแต่ละวัน ในรถเมล์สายที่มีทั้งรถแบบปรับอากาศและรถร้อน รถปรับอากาศจะมีจำนวนมากกว่า คนบางคนต้องรอรถเมล์ร้อนอยู่นานเป็นชั่วโมง เพราะไม่มีเงินพอจ่ายค่าโดยสารรถแอร์ มีหลายครั้งที่ผู้เขียนเห็นเด็กในวัยชั้นประถมหลายคน ท่าทางไม่ค่อยมีเงินมากนัก โดยสารรถแอร์โดยยอมโดนพนักงานเก็บค่าโดยสารดุว่า เนื่องจากไม่มีเงินพอจ่ายค่ารถ หรือมีจ่ายแค่เพียงบางคน คนที่ขึ้นตามเพื่อนมาก็ต้องโดนว่าไป นับว่ายังดีที่พนักงานเก็บค่าโดยสารที่ผู้เขียนเจอมาไม่แล้งน้ำใจ ถึงขนาดไล่เด็กเหล่านั้นลงจากรถ

สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกแย่ทุกครั้งเมื่อขึ้นรถเมล์ในปัจจุบัน ก็คือการจำต้องฟังรายการเพลงที่ปล่อยออกมาบนวิทยุรถเมล์แทบทุกคัน โดยปกติรายการเพลงทางสถานีวิทยุที่ออกอากาศบนรถเมล์นั้นคือสิ่งที่ผู้เขียนฟังได้อย่างสนใจ แต่การบังคับให้ผู้โดยสารทุกคนต้องฟังเพลงที่เปิดกรอกหู ไม่ว่าจะเป็นเพลงเพราะแค่ไหนในเวลาที่อยากฟัง ก็ถือเป็นสิ่งทำลายสุขภาพประสาทหูและสุขภาพจิตของผู้โดยสาร เนื่องจากระดับเสียงที่ไม่มีการควบคุมอย่างดีพอ นอกจากนี้สภาวะอารมณ์และจิตใจของผู้โดยสารทุกคน ก็ไม่จำเป็นจะต้องพร้อมอยากฟังเพลงทั้งหลายเมื่อขึ้นรถเมล์ สิ่งนี้นับว่าน่าจะส่งผลทำลายสมาธิและสภาวะจิตของคนทุกคนบนรถเมล์ได้ โดยเฉพาะผู้โดยสารรถเมล์ร้อน ผู้ต้องเผชิญกับสภาพเสียงสารพัด รวมถึงมลพิษและความแออัดของการจราจรในกรุงเทพฯ อย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว รวมทั้งคนขับรถเมล์จำนวนหนึ่งที่คงจำทนฟังรายการเพลงซึ่งต้องเปิดเสียงไว้ตลอดเวลา นอกจากนี้ เสียงรายการเพลงที่เปิดตลอดเวลาบนรถเมล์ อาจไม่เอื้อต่อสวัสดิภาพของผู้โดยสารก็เป็นได้ หากเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายใดๆ ก็ตาม ในยามที่มีคนแน่นเต็มรถ การส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากคนขับรถหรือพนักงานเก็บสตางค์ก็อาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ทั้งที่เคยมีกรณีที่ผู้โดยสารถูกล่วงเกินทางเพศโดยผู้โดยสารด้วยกันเองเกิดขึ้นแล้วบ่อยครั้ง

สำหรับการให้บริการของคนขับรถเมล์ส่วนใหญ่นั้น คงเป็นสิ่งน่าระอาจนเบื่อจะบ่นให้ปากมากไปกว่านี้ ถ้าต้องขึ้นรถเมล์ก็ต้องยอมเสี่ยงภัยอย่างช่วยไม่ได้ ซึ่งนับว่าไม่ควรเป็นเงื่อนไขที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อยสำหรับผู้โดยสาร ส่วนคนขับผู้ให้บริการดีที่ผู้เขียนเจอมาก็มีอยู่บ้าง แต่นับว่าเป็นจำนวนน้อยกว่าคนขับที่ไม่ค่อยใส่ใจผู้โดยสาร สำหรับเรื่องนี้ก็ต้องทำใจ เพราะเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแบบไร้ความหวัง ว่าคนขับรถส่วนมากที่พบในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นรถประเภทไหน ก็ออกจะแล้งน้ำใจและเห็นแก่ตัว ผู้เขียนขอมองแบบซ้ำซากอีกใน พ.ศ. นี้ ว่าบริเวณท้องถนนในกรุงเทพฯ คือที่ที่มีความเสี่ยงอันตรายสูง และเป็นบริเวณที่บ่งบอกอย่างชัดเจนที่สุดถึงระดับจิตใจ และคุณภาพชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ และไม่เห็นแนวโน้มว่าจะปรับไปในทางดี

น่าเศร้าใจที่มีการบังคับใช้กฎห้ามโทรศัพท์ขณะขับรถ โดยไม่เน้นความสำคัญและบังคับกฎเรื่องสวัสดิภาพของคนเดินถนนบริเวณตรงทางข้ามอย่างสมควร ทุกวันนี้ทางม้าลายส่วนใหญ่แทบไม่มีความหมายสำหรับคนเดินเท้า เพราะคนขับรถส่วนมากแสดงให้เห็นว่าตนเองมีสิทธิ์ในการใช้ถนนเหนือกว่าคนที่ไม่ได้อยู่บนรถ จนกลายเป็นชนชั้นทางการจราจรที่ถูกมองเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วตามมุมมองคนส่วนใหญ่ ส่วนคนเดินถนนที่อยากจะข้ามตรงไหนก็ข้ามนั้น ก็ช่างไม่คิดเลยว่าตนเองทำสิ่งมักง่ายทำนองเดียวกับการทิ้งขยะไม่เลือกที่ ซึ่งน่าจะส่งผลให้คนขับรถส่วนใหญ่ไม่ยอมรักษากฎการหยุดรถตรงทางม้าลายให้คนข้ามก่อนอย่างปลอดภัย สิ่งที่ผู้เขียนทำได้กับคนใกล้ตัวอย่างน้องๆ ก็คือการคอยพูดกรอกหูว่าอย่ามองคนเดินถนนเป็นเหมือนก้อนหินที่ไม่มีชีวิต หรือเป็นเหมือนหมาที่ต้องคอยวิ่งหลบรถอย่างเงอะงะจนหัวสั่นหัวคลอน โดยเฉพาะคนรอข้ามทางม้าลาย และคนเดินถนนตามฟุตปาธช่วงหน้าฝนที่มีน้ำเจิ่งนอง

0 Comments:

Post a Comment

<< Home