Tuesday, November 03, 2009

เดินถนนดูโฮจิมินห์ซิตี้

ในช่วงปีกว่ามานี้ผู้เขียนใจแตกซ่านสุดๆ กับการเดินทางทั้งที่ไม่ค่อยมีรายได้ และในช่วงเดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูกมากไปโฮจิมินห์ซิตี้ในช่วงเวลาพอเหมาะก่อนการเปิดเทอม และเมื่อคิดค่ากินอยู่แบบประหยัดแล้วซึ่งเป็นจำนวนเงินประมาณที่ใช้นั่งรถบัสไปกลับกรุงเทพฯ - ภูเก็ต ได้สองรอบ อีกทั้งยังขอเงินจาก ก.ย.ศ.ส. (ตามรายละเอียดที่บอกไว้แล้วในเรื่องก่อนหน้านี้) ติดตัวไปเผื่อใช้จ่ายฉุกเฉินได้ ผู้เขียนจึงเห็นว่าตนเองควรบินไปโฮจิมินห์ซิตี้อย่างยิ่ง คณะ ก.ย.ศ.ส. มีเหน็บแนมบ้าง ทว่าไม่คัดค้านและให้เงินก้นถุงเผื่อไว้ใช้ รวมทั้งขับรถพาไปส่งที่สนามบินอย่างเต็มใจดังเช่นการเดินทางทุกครั้ง

ผู้เขียนไม่เคยเดินทางด้วยเที่ยวบินเช้ามากจึงไม่รู้ว่าควรไปถึงสนามบินก่อนเวลาไว้มากๆ จากการเดินทางครั้งนี้จึงได้ประสบการณ์ดังกล่าว เพราะผู้โดยสารคับคั่งตอนต่อแถวผ่าน ต.ม. โชคดีที่ไปถึงก่อนเวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมง โดยออกจากบ้านก่อนเช้ามืด ไม่เช่นนั้นอาจตกเครื่องโดยไม่คาดคิด เที่ยวบินที่เดินทางนับว่าได้เวลาดีมาก เพราะไปถึงโฮจิมินห์ตอนก่อนสาย และเที่ยวกลับก็เป็นช่วงหัวค่ำ ใช้เวลาบินประมาณหนึ่งชั่วโมงยี่สิบนาที นับว่าได้เวลาเดินทางแบบเต็มวันทั้งขาไปและขากลับ

เมื่อเทียบที่นั่งของสายการบินราคาประหยัดมากซึ่งผู้เขียนเดินทางมาด้วยแล้วรวมสองครั้ง กับที่นั่งของสายการบินราคาไม่ประหยัดซึ่งลำใหญ่กว่าที่ผู้เขียนใช้เดินทางเมื่อตอนปิดเทอมปีก่อน ผู้เขียนชอบที่นั่งของสายการบินราคาประหยัดมากกว่า แม้วัสดุไม่นุ่มนัก แต่ก็ไม่แข็งจนเกินไป และมีพื้นที่กว้างกว่าของสายการบินราคาไม่ประหยัด พื้นที่ห่างจากช่วงแถวหน้าอาจไม่กว้างนักแต่ก็ไม่แคบสำหรับผู้เขียน และกลับไม่รู้สึกอึดอัดเหมือนที่รู้สึกตอนนั่งสายการบินราคาไม่ประหยัด สภาพทั่วไปในห้องโดยสารก็ดูว่าได้รับการดูแลไม่ให้หมอง ห้องน้ำก็บำรุงรักษาอย่างดีเกินความคาดหมาย

จากสนามบินนานาชาติของโฮจิมินห์ที่ทันสมัยและไม่พลุกพล่านเท่าสุวรรณภูมิ นั่งรถเมล์สาย 152 เข้าไปยังเขตดาวน์ทาวน์ได้ ค่ารถเมล์ 3000 ดอง คิดเป็นเงินไทยประมาณ 6 บาท จุดจอดรถอยู่บริเวณชั้นพื้นดิน ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ พอผ่าน ต.ม. เดินลงบันไดเลื่อนออกจากประตูอาคารมาแล้วก็จะพบบริเวณที่จอดรถเลย

ผู้เขียนค่อนข้างเชื่อมั่นว่ารถเมล์ในโฮจิมินห์ให้ความสำคัญต่อผู้โดยสารมากกว่ารถเมล์ในกรุงเทพฯ รถเมล์ส่วนใหญ่ใช้ความเร็วในระดับพอเหมาะกับถนนขับแบบพวงมาลัยซ้ายซึ่งมีสภาพจอแจ และแล่นในเลนที่จัดไว้ให้เข้าป้าย รถเมล์หลายคันจอดเข้าป้ายแม้บางครั้งไม่มีคนโบกให้จอด รถเมล์สาย 152 ที่ผู้เขียนนั่งเป็นรถติดแอร์และขับอย่างระวัง

ถนนในโฮจิมินห์ซิตี้จอแจมาก โดยภาพรวมถนนในกรุงเทพฯ สร้างดีกว่า มีสภาพดีกว่า พาหนะยอดนิยมของชาวโฮจิมินห์คือมอเตอร์ไซค์ ที่นั่นคนขับรถทุกประเภทนิยมบีบแตร ทุกที่ที่มีรถรา เสียงแตรดังไม่ขาดระยะในลักษณะขอให้ได้บีบแตรไว้ก่อน จนแทบไม่รู้เหตุผลของการบีบ เพราะเสียงแตรรถดังทุกทิศทุกทาง และขณะเดินอยู่บนถนนแม้ข้ามทางม้าลายโดยต้องระวังรถมอเตอร์ไซค์ที่แล่นฝ่าไฟแดงมาตัดหน้านั้น ก็มีโอกาสโดนรถมอเตอร์ไซค์วิ่งเฉียดผ่านหลังได้ทุกเมื่อจากทุกทิศทางโดยไม่รู้ตัว การขับมอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดงดูเป็นเรื่องปกติสำหรับถนนโฮจิมินห์ เมื่อผู้เขียนกลับมาถึงกรุงเทพฯ และใช้ถนน จึงรู้สึกว่าถนนกรุงเทพฯ ดูดีขึ้นอีกเป็นหลายกอง เสียงแตรรถบางเบากว่าอย่างแตกต่างกันมาก แต่ยังไงเสียปัญหารถมอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดงบนถนนในกรุงเทพฯ ก็มีอยู่คล้ายกัน และไฟเหลืองคือไฟที่รถส่วนใหญ่เหยียบคันเร่งฝ่าทางแยก

การเที่ยวโฮจิมินห์ของผู้เขียนประหยัดได้อย่างแน่นอน เพราะผู้เขียนค่อนข้างเสพติดการเดิน กิจกรรมส่วนใหญ่คือการเดินไปตามถนนทั้งหลายตามแผนที่ซึ่งหยิบได้จากสนามบิน เวลาที่เหมาะแก่การเดินคือช่วงบ่ายแก่จนถึงหัวค่ำเพราะแดดไม่ร้อน และมีโอกาสผ่านไปตามซูเปอร์มาเก็ตในห้างสรรพสินค้าเพื่อเลือกซื้ออาหารพร้อมกินหลายๆ มื้อในราคาที่ควบคุมได้ พอดีว่าช่วงที่ไปนั้นมีฝนพรำบางๆ เป็นระยะตอนกลางวัน จึงทำให้มีช่วงเวลาการเดินได้มาก สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกตื่นตาและชอบใจมากบนถนนในโฮจิมินห์ซิตี้หลายช่วง คือต้นไม้ซึ่งเข้าใจว่าเป็นประเภทที่ขึ้นในป่าเบญจพรรณ และอาจเป็นต้นสัก ต้นไม้เหล่านี้ตั้งตระหง่านอยู่สองข้างทางบนถนนหลายสาย ความสูงของต้นไม้ส่วนใหญ่เกินหนึ่งร้อยเมตร บางต้นอาจสูงหลายร้อยเมตร แต่ละต้นมีหมายเลขประจำต้นโดยใช้สีเขียนไว้ บริเวณที่มีต้นไม้ทำนองนี้อยู่เป็นหมู่คือบริเวณสวนสาธารณะใกล้ที่ทำการไปรษณีย์กลางของโฮจิมินห์ซิตี้ แหล่งท่องเที่ยวหนึ่งของเมืองนี้ที่ทุกคนควรไม่ควรพลาดการเยี่ยมชม

สิ่งที่ช่วยประหยัดได้อีกทางหนึ่งคืออาหารเช้าที่เกสท์เฮ้าส์บริการฟรี เป็นขนมปังแท่งยาวตัดเป็นท่อนและอบความร้อนพอให้เนื้อข้างนอกกรอบ และเนื้อข้างในที่มีอณูเหนียวกรุ่นความร้อน กินกับเนย แยม ไข่ดาว และกล้วยหอมที่คัดมาให้แบบไม่งอมจัด พร้อมชาหรือกาแฟ ผู้เขียนรู้สึกว่ากินขนมปังแท่งแบบนี้ซึ่งปกติจะแข็งอย่างอร่อยกว่าที่ลองซื้อกินในร้านขนมปังที่กรุงเทพฯ แต่ต้องระวังชาเขียวสูตรเวียดนามที่ขายแบบบรรจุขวด เพราะแรงมาก ผู้เขียนดื่มตอนกลางวันหลังอาหารแล้วนอนตาค้างไปค่อนคืนทั้งที่เหนื่อยจากการเดินเตร่เป็นชั่วโมง ส่วนก๋วยเตี๋ยวที่กินบางมื้อในร้านเกี๋ยวเตี๋ยวที่โฮจิมินห์ เมื่อเทียบกับที่กรุงเทพฯ แล้ว ที่นั่นราคาแพงกว่า แต่ส่วนที่ชอบก็คือเขาเสริฟผักสดให้ด้วยในจานขนาดย่อม ที่สนามบินสุวรรณภูมิมีศูนย์อาหารที่เปิดตลอดวันตลอดคืนอยู่บริเวณใกล้ป้ายจอดรถชัตเติ้ลบัสจากสนามบินมายังท่ารถเมล์เข้าเมือง ในศูนย์อาหารนั้นมีจานเด็ดสำหรับผู้เขียนที่ต้องแวะกินทั้งขาไปและขากลับ คือก๋วยเตี๋ยวต้มยำเนื้อปลาลวกสูตรน้ำพริกเผานมสด

0 Comments:

Post a Comment

<< Home